การแบ่งปัน
วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งแต่งนิยายอยู่ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมา แน่นอนจะเป็นใครได้ล่ะ นอกจากเบอร์ของมด คนพิเศษของผม มดเป็นนักเขียนตาบอดแต่เธอมีความสามารถมาก ผมกดรับสายและเธอก็บอกผมว่า
"พี่ใหม่ หนูจะเป็นวิทยากรในโครงการบลายไรท์ทิ่งฟอร์รัมนะค่ะ" ผมเองก็พลอยตื่นเต้นกับมดไปด้วยนั่นล่ะ
"ดีจัง มดเก่งมากเลยล่ะ"
"ไม่หรอกค่ะพี่ พี่ค่ะ พี่เค้าอยากได้นักเขียนหลาย ๆ คนค่ะ พี่ไปด้วยกันสิ" ผมได้แต่อึ้งไป ใจผมก็อยากจะไปนะแต่ว่าตอนนี้ผมตกงานไม่มีรายได้ ที่บ้านก็ไม่ช่วยซะอีก แล้วจะไปได้ยังไงกัน ผมเลยได้แต่ตอบไปว่า
"พี่ไม่รู้ว่าจะได้ไปมั๊ย มดเข้าใจใช่มั๊ยว่าเพราะอะไร" น้ำเสียงเศร้าๆระคนโกรธตัวเองนิดๆนั้นลอดเสาเครือข่ายไป ผมโกรธตัวเองที่ไม่สามารถไปให้กำลังใจคนสำคัญของตัวเองได้
"ค่ะ หนูเข้าใจ" ประโยคนี้เหมือนโดนมีดแทงไม่มีผิด ทำไมนะเราไม่เก่งกว่านี้ ทำไมเราไม่มีงานหรือเงินพอที่จะเป็นค่ารถไปให้กำลังใจมด ยิ่งเธอเข้าใจผมยิ่งรู้สึกแย่ เลยลองพยายามหางานทำแต่ว่า ก็ยังไม่ได้สักทีความสามารถคงมีอย่างเดียวแต่ว่าก็ยังไม่ดีนัก คงเป็นแค่คนไม่ได้ความนั้นล่ะ จนกระทั่งวันหนึ่งมดได้ คุยเอ็มกับผมและบอกผมว่า
"พี่คะหนูมีอะไรจะให้เดี๋ยวพี่รอรับนะ" ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามดจะเล่นอะไรจนกระทั่งผมเปิดเมลดูมันทำให้อึ้งไปมันเป็นเนื้อเพลงที่มดบอกว่ามดแต่งเอง
"วันพรุ่งนี้มีฝันที่รอเธออยู่ ต้องเรียนรู้ว่าจุดหมายที่ต้องเดินไป อาจจะเหงาเศร้าตรม อาจจะขมขื่นใจ ขวากหนามใดๆ ที่เธอนั้นเคยผ่านมา อยากให้เธอเดินไปด้วยใจกล้าแกร่ง สู้ด้วยแรงกำลังใจที่เธอได้มา ไม่ว่าทุกข์แผ้วพาล วันวานที่ผ่านมา ตื่นแล้วลืมตา ก็เช้าของวันใหม่
ขอให้เธอก้าวไปให้ถึงฝั่งฝัน หากมีวันล้มลงให้ลุกยืนใหม่ หนึ่งสมองสองมือ ถือปากกากระดาษเอาไว้ ขีดเขียนลงไป เพื่อคนอ่านที่เฝ้ารอ ขีดเขียนลงไป เพื่อคนอ่านที่รักเธอ" แค่เห็นเนื้อร้องผมก็น้ำตาซึมรีบโหลดทันที พอโหลดเสร็จก็เปิดฟังเสียงร้องของมดสดใสและน่าฟังมาก ผมเลยตัดสินใจว่าจะไม่ท้อกับอะไรทั้งนั้น ตลอดช่วงเวลาก่อนถึงวันอบรม ผมจะได้รับรู้ถึงความตื่นเต้นของมดอยู่เสมอ ๆ ผมได้คิดว่าถ้าได้ไปคงจะดี
วันที่ 11 มิถุนายน ผมตื่นมาเจอกับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต คุณยายผมเสีย นั่นทำให้ผมเสียใจมาก พอตั้งสติได้ก็โทรไปหามด มดก็ปลอบใจผมเหมือนอย่างเคยนั่นล่ะครับ ทำให้ระหว่างที่ผมจัดงานศพห้าวันนี้ เราไม่พูดเรื่องการอบรมนี้เลย แต่ระหว่างจัดงานศพ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเสียดายที่ไม่ได้พามดมาเจอคุณยายเลยสักครั้ง
วันที่ 16 มิถุนายน หลังจากฝังศพคุณยายเรียบร้อยแล้ว แต่แล้วป้าผมก็ได้ให้เงินมาจำนวนหนึ่ง ไม่มากแต่พอจะใช้เดินทางไปหามดได้ แต่ว่าพอดีผมได้ข่าวการอบรมอีกโครงการหนึ่งซึ่งน่าสนใจมากสำหรับผม มันอาจทำให้ผมได้เป็นนักเขียนที่เก่งขึ้นอีกก็ได้ แต่ว่า ผมกลับคิดอีกอย่างหนึ่ง ถ้าผมไปโครงการนั้นผมจะได้รับอยู่เพียงคนเดียว ที่ผ่านมาเราเป็นผู้ให้หรือเปล่า ก็คงจะน้อยมากผมเลยตัดสินใจว่า จะติดต่อมด และบอกมดว่า
"พี่จะไปให้กำลังใจมดนะ" มดถึงกับยิ้มอย่างดีใจสุด ๆ แม้เธอจะไม่เห็นหรอกว่าเธอทำหน้ายังไง แต่ผมเห็นและนั่นเป็นรอยยิ้มที่น่ารักที่สุด
"เธอลองติดต่อ พวกเขาสิว่า มีนักเขียนจาก ลีลาวดีไลท์จะไปอีกคนหนึ่ง" มดรีบโทรหาชมรมทันที และก็ได้คำตอบมาว่า
"ถ้าเวลาเหลืออาจจะให้พูด" นั่นก็ดีแล้วล่ะครับ ผมไม่ใช่วิทยากรที่เขาเชิญไปเสนอหน้าไปเองซะด้วยซ้ำ แต่ก็มีเรื่องกังวลอีกว่า วันจริงจะพูดได้หรือเปล่า นี่ล่ะสำคัญมากเพราะว่าผมพึ่งเสียคุณยายไป แต่ว่าผมลองมานึก ๆ ดูว่า คุณยายคงอยากเห็นเราสู้ต่อไปไม่ใช่อยากเห็นเราเศร้า อยากเห็นเราก้าวไปข้างหน้ามากกว่าเลยคิดว่าถ้าได้พูดก็จะพูดให้ดีที่สุด ถ้าไม่ได้พูดก็ไม่เป็นไร และมดก็ส่งสคริปมาให้ผมอ่านผมอ่านรู้สึกว่ามันดีมากแต่เกิดคำถามว่า มดจะพูดตามนี้จริง ๆ เหรอ
18 มิถุนายน ในคืนก่อนวันงานเสวนา มดคุยเว็บแคมเมอร่ากับผม มดนั่งท่องสคริปที่เตรียมไว้แต่ผมกลับรู้สึกว่ามดกำลังเครียดผิดกับทุกครั้งที่คุยกัน หน้าของมดเหมือนอยากจะร้องไห้อยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์เสียให้รู้แล้วรู้รอด และนั่นผมเข้าใจดี ตอนสมัยเรียนเวลาต้องนำเสนองานหน้าห้อง ผมจะไม่มีสคริป ถึงมีก็จะเป็นเพียงคำสั้น ๆ เอาไว้กันลืมผมเลยบอกมดว่า
"พี่ว่าเธอลืมสคริปเถอะ เธอเองก็คงเหมือนพี่ ที่ทำตามสคริปไม่ได้"
"แต่หนูรู้สึกว่าตัวเองพูดไม่รู้เรื่องนะพี่" มดแย้งเล็กๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลว่า ตัวเองจะลืมประเด็นสำคัญ และจะพูดไม่ได้ ถ้าไม่มีสคริป
"เถอะน่า เธอพูดรู้เรื่อง มั่นใจหน่อยสิ" ผมยังยืนยันว่าเธอไม่ต้องใช้สคริป
"ได้ๆ ลืม ลืมสคริปให้หมด" มดเชื่อผมและตัดสินใจลืมสคริปไปให้หมด หลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องสัพเพเหระกัน กลายเป็นว่ามดล้มเลิกการเตรียมคำพูดจนหมด มดเลยขอตัวรีบอาบน้ำนอน เตรียมร่างกายและสมองให้พร้อมสำหรับวันต่อไป
แต่ผมน่ะเหรอ นอนไม่หลับซะแล้ว เพราะต้องไปให้ทันรถเที่ยวแรกตอนตีห้ากลัวว่าจะตื่นไม่ทันเลยไม่นอนมันซะ ทุกครั้งที่จะไปกทม.ผมก็มักเป็นแบบนี้เสมอ ผมดูนาฬิกา มันเป็นเวลาตีสองผมเลยลงมาอาบน้ำและเตรียมอาหารเช้า ผมกินอาหารเช้าและนั่งดูทีวีรอจนตีสี่สิบห้า ผมเดินออกไปจากบ้านใช้เวลาสิบห้านาทีก็ถึงท่ารถ ซื้อตั๋วและรออีกครึ่งชั่วโมง รถทัวร์ก็มา พอขึ้นไปนั่งผมพยายามทำให้ตัวเองหลับเพราะไม่งั้นอาจทำให้พูดไม่รู้เรื่อง แต่ว่า ก็ไม่หลับ จนกระทั่งเวลา หกโมงสิบเอ็ดนาที ผมส่งข้อความไปหามดว่า
"ตื่น ๆ"
ใช้เวลาเดินทางราว สองชั่วโมงผมก็มาถึง หมอชิตและได้ขึ้นรถไฟฟ้ามาลงที่อนุสาวรีย์ชัย แต่ตลอดทางผมโทรหามดตลอดคอยถามว่าอยู่ไหน จนจะกลายเป็นนกยักษ์ไปแล้ว เพราะความเป็นห่วงนั่นล่ะ ผมเข้ามาถึงบ้านเซเวียตอนนั้นมีแต่เจ้าหน้าที่ เขามาถามผมว่าผมเป็นวิทยากรหรือเปล่า ผมไม่รู้จะตอบไงเลยตอบไปว่า
"ผมมากับคุณเสาวนีย์ครับ"
ผมได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีแต่ตอนนั้นจิตใจผมว้าวุ่นไปหมดคอยโทรถามตลอด จนกระทั่งมดบอกว่ามาถึงแล้ว ผมเลยบอกอาสาสมัครไปว่า มดมาถึงแล้ว อาสาสมัครเลยไปรับมด ระหว่างที่รอผมได้คุยกับคนตาบอดหลายคนพบว่าพวกเขาก็อ่านหนังสือเหมือนกัน และบางคนก็มีฝันอยากจะเป็นนักเขียนด้วยเหมือนกัน แต่ว่าขนาดคุยกับคนอื่นผมก็นั่งไม่ติดจนกระทั่งมดมาพร้อมกับน้องสาวของมดนั่นล่ะ ผมรีบเดินไปรับมดทันที วันนี้มดแต่งตัวสวยมากจริง ๆ
หลังจากนั้นการอบรมก็เริ่มขึ้น ผมได้ความรู้มากมายจากวิทยากรหลาย ๆ ท่านและได้พบกับคุณเอก เจ้าของนามปากกาอัสนี เป็นคนที่ทำให้ผมกับมดได้เจอกัน พร้อมพี่ฝ่ายประชาสัมพันธ์จากสำนักพิมพ์เรือนปัญญา ที่มาให้กำลังใจมด พร้อมช่อดอกไม้สวยๆ จากคุณ ภาวัต ชัยไกรกุลจากสำนักพิมพ์เรือนปัญญา พี่บก.กุ้งและทีมงานจากสำนักพิมพ์กรีนมาย ที่แทคทีมมาในเสื้อสีเขียวสดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ คนตาบอดอีกกว่าห้าสิบชีวิต ที่มาฟังการเสวนาอย่างตั้งใจ ด้วยความฝันที่อยากเป็นนักเขียน นั่นทำให้ผมปลื้มใจมาก
"พี่เอาปกนิยายมาให้ดู มีสามแบบให้เลือกนะ ชอบอันไหน" พี่ฝ่ายประชาสัมพันธ์จากสำนักพิมพ์เรือนปัญญาถามพร้อมกับรูปตัวอย่าง ตามมาด้วยการบรรยายรูปในกระดาษแข่งกันระหว่างผม พี่เอก และน้องสาวของมด โดยที่มดไม่ต้องถามอะไรเลย
ตกบ่ายผมได้พามดไปนั่งตรงที่ของวิทยากร และได้มีการพูดคุยซักถามผมเองก็มีโอกาสพูดบ้างเล็กน้อย แต่นั่นคงไม่สำคัญอะไรมาก เพราะมดพูดได้ดีมากจริง ๆ เธอพูดอย่างเป็นธรรมชาติมีสิ่งหนึ่งที่มดคงไม่รู้ว่าทุกคนฟังมดด้วยสีหน้าที่แสดงความชื่นชม และมีความสุขกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะมันเป็นคำพูดออกมาจากใจและความจริงที่อยู่เหนือสคริป ทำให้มดพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่ล่ะครับสิ่งที่ดีที่สุด พอมดพูดจบ และกำลังรอตัวแทนกล่าวขอบคุณ ผมสะกิดมดและถามว่า
"เพลงฝั่งฝันร้องได้เลยหรือเปล่า"
"ได้เลยค่ะพี่"
"งั้นเดี๋ยวพี่จะบอกให้เธอร้องนะ"
ขณะที่ตัวแทนกล่าวขอบคุณมีประโยคหนึ่งบอกว่า
"น้องมดและน้องใหม่เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ตาบอดเหมือนกัน" ผมกำลังจะไปบอกว่าไม่ใช่ครับ แต่มดเหมือนจะรู้เลยห้ามไว้
"อย่าให้เขาหน้าแตกเลยค่ะ" ผมเลยต้องเลยตามเลย เพราะทำเขาหน้าแตกคงไม่ดีแน่ เมื่อการกล่าวขอบคุณจบ ผมได้บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า มีของขวัญมอบให้สามชิ้น ชิ้นแรกคือนิยายของมด ให้ทำเป็นหนังสือเสียง ชิ้นที่สองเป็นนิยายของผมที่ผมทำเป็นหนังสือเสียง แม้มันจะไม่เป็นเล่มก็ตามทีแต่ผมก็ดีใจที่ได้มอบมันให้คนที่อยากอ่าน เมื่อประกาศออกไป ผมเห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มของหลาย ๆ คน และชิ้นที่สามคือเพลงฝั่งฝันที่มดร้องเอง ไม่มีดนตรี มีเพียงคำร้อง ทำนอง และจังหวะปรบมือของคนตาบอดทุกคนในงาน ดังกระหึ่มอยู่ภายในบ้านเซเวียร์ และยังมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขของทุกคนมดอาจไม่เห็นมัน แต่มันก็เป็นภาพที่ประทับใจมาก เสียดายที่มือถือผมถ่ายวีดีโอไว้ได้ไม่ยาวนัก
"ชอบพี่มด ชอบคุณมด คุณมดพูดดีนะ คุณมดเสียงเพราะ อยากรู้จักคุณมด เราคงได้เจอกันอีกนะ" หลากหลายคำชื่นชมยินดี หลั่งไหลจากปากของเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนตาบอด ทำให้ผมดีใจแทนมดและสีหน้าของมดก็ดูมีความสุขมากจริง ๆ ส่วนผมน่ะหรือ มีหลายคนมาถามเหมือนกันแต่งเรื่องอะไร มีพล็อตอะไรน่าสนใจบ้าง และบางคนออกปากว่าอยากอ่าน ผมเลยคิดว่าจะทำนิยายเสียงต่อไปนั่นล่ะเพราะมันก็ทำให้คนยิ้มได้และผมก็มีความสุขไปด้วย
ผมดีใจที่มาเป็นผู้ช่วย วิทยากรในวันนี้ อาจไม่ได้ทำอะไรมากนักแต่ก็ได้แบ่งปันสิ่งดี ๆ ดีใจที่ได้มาและผมยังได้ข้อคิดว่า อย่ายอมแพ้ ต้องพยายามต่อไป ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง และดีใจมากที่ได้รับโอกาสนี้
อ่านต่อ :
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2216954#ixzz1S3Cp9DfR
ความคิดเห็น